เรามาถึงก่อนเวลาเริ่มงานจึงมีโอกาสถ่ายบรรยากาศของร้านแบบสบาย เมื่อมาที่โต๊ะพบป้ายเป็นชื่อแขกต่างๆ จัดเตรียมไว้อย่างสวยงามและยังมีซองสีน้ำตาลวางอยู่ ณ ทุกๆ สำรับ เมื่ออ่านดูพบว่าหน้าซองเป็นเมนูที่จะเสิร์ฟในค่ำคืนนี้ และข้างในยังมีของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากร้านมอบให้ นั่นคือ เกลือสีชมพู (Natural Pink Flower of Salt " Fleur De Sel") ที่ได้จากแม่น้ำ Murray ในประเทศออสเตรเลีย ให้แขกแต่ละท่านกลับบ้าน สร้างความประทับใจกันตั้งแต่เริ่มต้นเลยทีเดียว นอกจากนี้ ทางร้านได้มีการปรับแต่งเพิ่มเติมทั้งในส่วนของตกแต่งร้าน เป็นหมอนที่มีข้อความน่ารักๆเกี่ยวกับท้องทะเล หรือ จะเป็นห้องจัดเลี้ยงส่วนตัวที่ชื่อ Pinocchio Secret Chamber ที่วันนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นห้องแสดงดนตรีบรรเลงแจ๊สแบบสด เพิ่มความสุนทรีย์ในการรับประทานอาหาร นอกจากนี้ยังมีการจัดส่วนหนึ่งของร้านเป็นส่วนของอาหารทานเล่นและมีไวน์ให้ชิมสำหรับแขกที่มาถึงก่อน เพื่อเป็นการผ่อนคลายอีกด้วย

เมื่อแขกเริ่มมากันครบ ทางเจ้าของร้านก็ได้ออกมากล่าวต้อนรับพร้อมกับเชฟเพื่อบรรยายให้ทราบถึงรายละเอียดและความพิเศษของเมนูใหม่ที่จะเสิร์ฟในวันนี้ และแล้วก็ได้เวลาเริ่มทานอาหารมื้อสุดพิเศษนี้ เริ่มจากจานแรก Atlantic Blue Fin Tuna Tartar ที่แค่เห็นหน้าตาก็ร้องว้าวด้วยความน่าสนใจ เนื่องจากตกแต่งด้วยซอสชนิดต่างๆ ในรูปของเจลหลากสีอยู่บนจานรอบๆ บลูฟินทูน่า เชฟได้อธิบายว่ามีเยลลี่สองรสที่มีรสชาติแตกต่างกันไป สีเขียวทำมาจากแอปเปิ้ลเขียว ส่วนสีน้ำตาลทำมาจากซีอิ๊วญี่ปุ่น หรือโชยุ นอกจากนี้ยังมีซอสสีทองรสเปรี้ยว หวาน และฮอร์สเรดิชมาโยที่มีคาเวียร์ให้มาอีกด้วย จานนี้ให้รสชาติที่น่าสนใจอย่างมาก ความนุ่มหอมของทูน่าประกอบกับรสของซอสต่างๆ ทำให้แต่ละคำนั้นมีเรื่องราวและความตื่นเต้น เปิดเมนูแรกได้อย่างยอดเยี่ยม

จานต่อมาเป็น 2 Layers Cappuccino Soup With Snow Ball เป็นซุปปลาชิเลียนซีบาส ตระกูลเดียวกับปลาหิมะที่ทำออกมาเป็นแบบครีม เนื้อซุปด้านบนเป็นชั้นของแซฟฟรอนโฟม หอมกำลังดี รสชาติออกเผ็ดนิดๆ จากพริกไทย ส่วน ข้างบนเป็น Croquette เนื้อปลาหิมะ เข้ากับซุปได้ดี และแน่นอนว่าต้องมีเมนูล้างปากก่อนเข้าสู่ Main Course กันเช่นเคย สำหรับคราวนี้ เป็น Sorbet Passion fruit juice ที่เสิร์ฟมาใน Sparkling Wine รสหวานซ่า ที่เข้ากันได้อย่างดีเยี่ยมจนแทบอยากจะขออีกแก้วเลยทีเดียว

ในที่สุดก็มาถึงจานหลักของวันนี้ วัตถุดิบหลักเป็นสิ่งที่ทางร้านเชี่ยวชาญ ก็คือ Glazed Lemon Sole Roulade เป็นปลาเนื้อขาวที่นำเนื้อปลาล้วนๆ มาม้วนโดยเทคนิคพิเศษของเชฟ ที่ทำให้รูปร่างหน้าตาออกมาคล้ายไส้กรอก นำไปผ่านกระบวนการ Sous Vide ที่นำเนื้อปลานี้ใส่ในถุงสุญญากาศแล้วนำไปทำให้สุกในน้ำอุ่นตามเวลา และอุณหภูมิที่ตั้งไว้ ทำให้เนื้อที่ออกมานั้นนุ่มและแน่นมากๆ เสิร์ฟมาให้ทานคู่กับซอสมะเขือเทศที่เรียกว่า Tomato Concasse และ Pommery Mustard และมีเครื่องเคียงเป็นมันฝรั่งและพาร์เมซานชีสอบกรอบมาเป็นแผ่นกลมๆ จานนี้เป็นจานที่แสดงถึงความสามารถของเชฟในการใช้เทคนิคแบบพิเศษในการทำอาหารแบบแปลกใหม่และยอดเยี่ยม

ประทับใจกับเมนูหลักกันไปแล้ว ก็มาต่อด้วยของหวานสุดพิเศษต่อกับ Earl Grey Cappuccino ที่ตกแต่งด้วยทองเปลวมาอย่างสวยงาม ตอนแรกนึกว่าเป็นน้ำชาหรือกาแฟแต่จริงๆแล้ว เป็น Crème Brule ที่เนื้อครีมนั้นให้รสชาติและกลิ่นของชาเอิร์ลเกรย์ให้กลิ่นที่หอมมากๆ รสละมุนหวานอ่อนๆ และเมื่อทานคู่กับ Passion Fruit Sugar Cube ที่มีรสเปรี้ยวหวาน ก็ได้รสที่เข้ากันอย่างมาก แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในรายละเอียดและความเข้าใจในการผสมผสานของเชฟ เป็นเมนูปิดท้ายที่สุดแสนจะประทับใจ

ร้าน Whale's Belly ได้แรงบันดาลใจมาจากนิทาน The Adventures of Pinocchio ในฉากที่ Pinocchio เข้าไปอยู่ในท้องของวาฬ ภายในร้านจึงมีพื้นที่กว้างขวางราวกับอยู่ในท้องของวาฬตัวใหญ่ ส่วนเพดานของร้านตกแต่งด้วยไม้ระแนงลักษณะโค้งเว้าเหมือนซี่โครงของวาฬ โทนสีที่ใช้เป็นสีน้ำเงิน-ขาว ให้ความรู้สึกราวกับว่าเรากำลังอยู่ในท้องทะเลอันกว้างใหญ่ ประดับด้วยไฟเล็กๆ สวยงาม และมีของตกแต่งอื่นๆ ที่สื่อความหมายถึงท้องทะเล เช่น หีบสมบัติ และกล้องดูดาว นอกจากบรรยากาศของร้านที่สอดคล้องกับชื่อแล้ว ท้องของวาฬยังแทนความหมายของแหล่งอาหารอันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยวัตถุดิบสดใหม่ คุณภาพสูง หลากชนิด เช่นเดียวกับที่ทางร้านจัดเตรียมไว้ปรุงอาหารชั้นเลิศให้กับลูกค้า

หลังจากเพลิดเพลินกับการชมร้านแล้ว พวกเราก็กลับมานั่งที่โต๊ะอาหารและเริ่มสั่งอาหารทันที นับว่าเป็นโชคดีที่เรามากันหลายคน ทำให้สามารถสั่งเมนูมาได้หลากหลาย เริ่มด้วยจานแรกที่เป็นหนึ่งใน Signature Dish ของทางร้านคือ Timbale of Avocado & Crab (Blue crab rillette, chunky guacamole, lumpfish roe, honeydew japanese melon gazpacho) ยำเนื้อปูปรุงรส ที่ถูกแต่งแต้มให้มีสีสันจากพริกชี้ฟ้าแดง วางอยู่บน guacamole เป็นวงกลมสวยงาม เพิ่มรสชาติด้วยคาเวียร์ และต้นหอม ตอนแรกเข้าใจว่าเมนูนี้พร้อมทานได้ แต่ยังไม่ทันได้ลงมือ พนักงานก็เทซุปเย็นสีเขียวสดใสลงในจาน ซุปนี้รสชาติอ่อนๆ ออกหวานนิดๆ หอมกลิ่นเมลอน แถมเย็นชื่นใจ สำหรับเนื้อปูมีความหวานมันจากมายองเนส และรสเผ็ดนิดๆ จากทาบาสโก้ช่วยเรียกน้ำย่อย รสอาจเค็มไปนิดสำหรับคนที่ไม่ค่อยชอบทานเค็ม แต่เมื่อทานพร้อมกับซุปเมลอนแล้ว รสชาติเข้ากันได้อย่างลงตัว ทานแล้วรู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย หลังจากเหนื่อยมาทั้งวัน พนักงานอธิบายเพิ่มเติมว่าจานนี้เหมาะสำหรับสุภาพสตรี เพราะทานง่าย ไขมันต่ำ เป็นเมนูเปิดมื้ออาหารที่เยี่ยมจริงๆ

จานที่สอง คือ Duck & Beets (Smoked duck breast, pickled beetroot, needle beans, lemon vinaigrette) จานนี้จะออกแนว Earth Tone เนื่องจากเป็ด บีทส์ และผักในจาน ต่างก็เป็นส่วนประกอบที่เกี่ยวข้องกับดินทั้งสิ้น เป็ดของที่นี่ใช้อกเป็ดรมควันเกรดเอ เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ จานนี้ยกให้เป็นเป็ดรมควันที่อร่อยที่สุดเท่าที่เคยทานมา ส่วนบีทส์รสหวานอมเปรี้ยวเล็กๆ ทานคู่กับใบร็อคเก็ต และถั่วเข็ม สดกรอบ ราดด้วยน้ำสลัดใส lemon vinaigrette ให้รสชาติเยี่ยม นับเป็นอีกจานที่น่าประทับใจ

หลังจากทานสลัดแล้วก็เริ่มอยากได้ซุป เหลือบไปเห็นเมนูซุปอาหารทะเลของฝรั่งเศส หรือ Bouillabaisse ซึ่งเป็นเมนูโปรดที่หาทานได้ยากในเมืองไทย จึงรีบสั่งมาทันที ของที่ร้านนี้จะทำออกมาเป็นซุปครีม ที่มีกลิ่นหอมของแซฟฟรอนและวัตถุดิบจากทะเลที่สดใหม่ มีทั้งกุ้งสดเนื้อหวาน กับหอยแมลงภู่ที่ให้มาอย่างจุใจ รวมถึงเนื้อปลาที่สดและไม่มีกลิ่นคาวเลยแม้แต่นิดเดียว แม้ว่าเนื้อซุปแบบครีมนี้จะต่างไปจากแบบต้นตำรับที่เคยทาน แต่ก็นับว่าทำออกมาได้อร่อยดีไม่มีผิดหวัง

จัดต่อกันด้วยเมนู Mc'n Cheese" Duo of Ravioli (The 2 stuffing pockets served with 2 sauces (Herbed chicken stuffing, fresh ricotta, espagnole & parmesan cream sauce) ซึ่ง Ravioli ของที่นี่มีความพิเศษตรงที่มีสองไส้รวมอยู่ในชิ้นเดียวกัน คือ ไส้ไก่อบสมุนไพรและไส้ชีสผสมที่มี ricotta, parmesan, และ mozzarella ราดด้วยซอสครีมชีสและ Chicken brown ซอสอีกที ส่งกลิ่นหอมอบอวลมาแต่ไกล แป้ง ravioli ที่นี่ทำมาได้นุ่มพอดี ไม่แข็งและไม่เละเกินไป เมนูนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบชีสหอมๆ หรือเด็กๆ เพราะทานได้ง่ายและอร่อยมาก

เมื่อท้องกำลังเดินเครื่องเต็มที่ ก็ไม่อยากให้ทิ้งช่วง จึงเลือกอีกหนึ่งเมนูโปรด ที่มาในแบบฉบับที่เราไม่เคยทานกันมาก่อน นั่นก็คือ Foie Gras ravioli ที่หน้าตาของเมนูก็ทำให้เราร้องว้าวกันได้อีกครั้ง กับ ravioli สีดำที่ทำจากหมึก และโฟมคาราเมลฟูๆ ตามสไตล์ Molecular Gastronomy มาพร้อมกับซอส truffle ที่ส่งกลิ่นหอมยั่วยวน เมื่อเอามีดตัด ravioli ก็มีน้ำมันสีเหลืองๆ ของ foie gras ไหลเยิ้มออกมา ส่วนเรื่องของรสชาตินั้น เหนือคำบรรยายจริงๆ ทุกอย่างผสมผสานกันอย่างลงตัวเป็นที่สุด กลิ่นของวัตถุดิบทุกอย่าง เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองและไม่กลบกัน เมนูนี้ใครที่ชอบ foie gras ห้ามพลาด ต้องมาลองให้ได้ที่นี่ เมื่อทานเมนูนี้เสร็จทางร้านก็เตรียม Lemon Tea Sorbet Jelly (เยลลี่ซอร์เบท์ชามะนาว) ซึ่งความเปรี้ยวจากเกล็ดน้ำแข็งมะนาวและเยลลี่ชา ช่วยล้างรสอาหารที่ติดอยู่ในปาก ทำให้สดชื่น กระตุ้นให้อยากอาหาร และพร้อมรับเมนูถัดไป

และแล้วก็มาถึงช่วงไฮไลท์กับ Main course ที่ทางเราสั่งมาสองอย่างอย่างแรกคือ Roasted Salmon จัดวางมาเหมือนกับปลาที่อยู่บนโขดหินในทะเล ปลาแซลมอนชิ้นโตหนังกรอบ เนื้อด้านในยังกึ่งสุกกึ่งดิบเป็นสีชมพูอ่อนชุ่มๆ นับว่าทำมาได้อย่างพอดี วางอยู่บนเนื้อมันฝรั่งบดหยาบคลุกเคล้ากับเนื้อปูและไข่ปลาคาเวียร์ โดยรอบมีน้ำซอสราดอยู่ เป็นซอสครีมไวน์ขาว ที่แม้จะออกเค็มไปนิด แต่มีรสเปรี้ยวจากมะนาวมาตัดรส นับได้ว่าเป็นปลาแซลมอนที่ทำออกมาได้ดีที่สุดจานหนึ่งนับแต่เคยทานมา อีกจานหนึ่งคือ Lacquered Chilean Sea bass เป็นปลาเนื้อขาวชิ้นโต เสิร์ฟคู่กับเห็ดหอมผัด วางบนซอสที่ทำจากมิโซะผสมกับน้ำส้มแล้วนำไปเคี่ยวเข้มข้น รสชาติหอมหวานมากๆ ที่ประทับใจที่สุดกับเมนูนี้ก็คือ น้ำหวานๆ ที่อยู่เนื้อปลานั้นซึมออกมาภายนอกหนังปลาอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ถูกเสิร์ฟ ยิ่งเมื่อกดมีดลงไปบนชิ้นปลานุ่มๆ น้ำในตัวปลาก็ยิ่งผุดออกมา แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการทำอาหารของเชฟและความสดของวัตถุดิบของที่นี่ได้เป็นอย่างดี

ปิดท้ายมื้อที่สุดแสนจะประทับใจด้วยของหวานกับเมนูชื่อ Summer Fling ที่ประกอบด้วย passion fruit cream เป็นฐาน ทาทับด้วย raspberry coulis แล้วโรย crumble เพิ่มรสสัมผัส เป็นเมนูที่ทำให้รู้สึกสดชื่นจากความเปรี้ยวได้สมชื่อ ด้วยความประทับใจในรสชาติของอาหารที่นี่ เราจึงถามทางร้านว่าเชฟของที่นี่มีประวัติเช่นไร ได้ความว่าชื่อเชฟใหม่ มีความเชี่ยวชาญเรื่องปลา เคยประจำ seafood station ที่ห้องอาหาร Le Normandie โรงแรมชื่อดังระดับ 5 ดาว มีประสบการณ์ทำงานร่วมกับเชฟระดับ Michelin Star มามากมาย ทำให้เราได้หายสงสัย โดยเฉพาะเมนูปลาที่ทำออกมาได้เยี่ยมสุดๆ

โดยสรุปร้านนี้เป็นร้านอาหารที่บอกได้เลยว่าหาทานได้ยากในเมืองไทย กับอาหารชั้นเลิศและบรรยากาศสบายๆ เป็นกันเองที่ไม่ต้องมีพิธีรีตรองมากมาย เมนูที่สร้างสรรค์ขึ้นมาเองจากประสบการณ์ต่างๆของเชฟ และสิ่งที่ประทับใจคือการที่มีเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ในทุกเมนู และใส่ใจถึงทุกๆ รายละเอียดของการทำอาหาร ทำให้รู้สึกว่า อาหารเป็นศิลปะที่สวยงาม ร้านนี้เป็นร้านที่แสดงถึงศาสตร์นี้ได้อย่างยอดเยี่ยม หากใครก็ตามที่รักในการทานอาหาร คุณต้องไม่พลาดโอกาสการลิ้มรสชาติอาหารในท้องวาฬแห่งนี้แน่นอน